ฉันจำได้ดีเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา สมัยที่วงเราเริ่มเป็นที่รู้จักบนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง JOOX และ YouTube การจัดการเวลาชีวิตส่วนตัวกับการเป็นนักดนตรีอาชีพดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ยิ่งในช่วงที่ต้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ พร้อมกับการเตรียมทัวร์คอนเสิร์ตเล็ก ๆ ทั่วไทย ทุกอย่างมันตีรวนไปหมดจนแทบจะไม่มีเวลาหายใจ รู้สึกเหมือนกำลังวิ่งมาราธอนที่ไม่มีเส้นชัยปลายทางเลยทีเดียว.
แต่จากการที่ฉันได้ลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการใช้แอปพลิเคชันบริหารเวลาแปลก ๆ หรือแม้แต่การลองใช้ AI มาช่วยจัดตารางชีวิตประจำวันอย่างที่เริ่มเป็นกระแสในยุคนี้ ฉันพบว่ากุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การมีเวลาเพิ่มขึ้น แต่เป็นการบริหารจัดการเวลาที่เรามีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่างหากค่ะ ยิ่งในยุคที่นักดนตรีไม่ได้แค่ต้องเล่นดนตรีเก่ง แต่ยังต้องเป็นผู้สร้างคอนเทนต์, นักการตลาด และผู้ประกอบการด้วยตัวเอง การรู้เทคนิคการจัดการเวลาให้ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลย.
เทรนด์ใหม่ ๆ ที่นักดนตรีทั่วโลกกำลังเผชิญ เช่น การแข่งขันที่สูงขึ้นบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง, การสร้างรายได้จาก NFTs หรือแม้กระทั่งการดูแลสุขภาพจิตท่ามกลางความกดดันมหาศาล ล้วนต้องการวินัยในการบริหารเวลาอย่างเข้มงวดทั้งสิ้น.
จากประสบการณ์ตรงที่ฉันได้ลองปรับเปลี่ยนและนำไปใช้จริง ฉันอยากจะแบ่งปันเคล็ดลับเหล่านี้ให้กับคุณค่ะ จะบอกให้คุณรู้แบบชัดเจนเลยครับ/ค่ะ
ฉันอยากจะแบ่งปันเคล็ดลับเหล่านี้ให้กับคุณค่ะ จะบอกให้คุณรู้แบบชัดเจนเลยครับ/ค่ะ
จัดการเวลาร่างกายและจิตใจ: รากฐานสำคัญของความสำเร็จ
สิ่งที่ฉันเรียนรู้มาตลอดชีวิตการเป็นนักดนตรีที่ต้องทำงานหนักกว่าคนทั่วไปคือ การจัดเวลาให้กับตัวเองสำคัญยิ่งกว่าการจัดตารางงานเสียอีกค่ะ เคยไหมที่ร่างกายเหนื่อยล้า จิตใจอ่อนเพลียจนแทบจะไม่มีแรงทำอะไรดีๆ ออกมาได้เลย ฉันเองก็เคยผ่านช่วงนั้นมาหลายครั้ง จนกระทั่งตระหนักได้ว่าถ้าปล่อยให้ตัวเองหมดไฟไปเรื่อยๆ ทุกอย่างที่สร้างมาก็จะพังลงได้ง่ายๆ เหมือนกัน การดูแลตัวเองไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับอาชีพนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ และความกดดันจากโซเชียลมีเดียมีอยู่ทุกที่ การมีสุขภาพจิตที่ดีจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ที่ไหลลื่น และสามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์, การปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI ในการแต่งเพลง, หรือแม้แต่การสร้างชุมชนแฟนคลับที่แข็งแกร่งบนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนต้องการพลังงานทั้งทางกายและใจที่สมบูรณ์พร้อมอยู่เสมอ การตั้งเวลาสำหรับการพักผ่อน การออกกำลังกาย และการทำสมาธิ หรือแม้แต่การใช้เวลากับคนที่เรารักอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่เรื่องเสริม แต่คือหัวใจสำคัญของการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเลยล่ะค่ะ
1. กำหนด “ช่วงเวลาปลอดโปร่ง” ให้กับตัวเอง
สิ่งนี้สำคัญมาก ๆ ค่ะ! หลังจากที่ฉันได้ลองผิดลองถูกมาเยอะ ฉันพบว่าการกันเวลาส่วนหนึ่งของแต่ละวันไว้เพื่อ “ไม่มีอะไรเลย” จริง ๆ นั้นช่วยให้สมองได้พักและกลับมาทำงานได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงเวลานี้อาจจะหมายถึงการนั่งจิบกาแฟเงียบๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง, การเดินเล่นในสวนสาธารณะโดยไม่แตะโทรศัพท์, หรือแม้แต่การทำสมาธิสั้นๆ เพียง 10-15 นาที สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ฉันได้ตัดขาดจากความวุ่นวายของการซ้อมดนตรี การตอบอีเมลโปรโมทงาน หรือการคิดคอนเทนต์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักดนตรีสมัยนี้ต้องทำควบคู่ไปกับการทำเพลง ผลลัพธ์ที่ได้คือความคิดสร้างสรรค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และความสามารถในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีสติมากขึ้น เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าทุกนาทีต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุดกับการทำงาน จนร่างกายประท้วงด้วยอาการปวดหัวเรื้อรังและนอนไม่หลับ แต่พอได้ลองทำแบบนี้ สุขภาพกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และพลังในการทำงานก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง อยากให้ทุกคนลองให้ความสำคัญกับช่วงเวลาปลอดโปร่งนี้ดูนะคะ มันคือการเติมพลังให้แบตเตอรี่ในตัวเราจริง ๆ ค่ะ
2. โภชนาการและการนอนหลับ: เสาหลักที่ไม่ควรมองข้าม
เรื่องนี้อาจจะฟังดูเบสิก แต่เชื่อฉันเถอะว่ามันคือพื้นฐานที่นักดนตรีหลายคนละเลยไปง่ายๆ ค่ะ ในช่วงที่ทัวร์คอนเสิร์ตหนักๆ หรือเข้าห้องอัดจนดึกดื่น ฉันมักจะปล่อยปละละเลยเรื่องการกินและการนอนอยู่เสมอ กินอาหารขยะ นอนไม่เป็นเวลา ตื่นมาก็รู้สึกงัวเงีย ไม่มีเรี่ยวแรง พอร่างกายอ่อนแอลง จิตใจก็พลอยหม่นหมองตามไปด้วย พาลทำให้การแต่งเพลงไม่ลื่นไหล การแสดงบนเวทีก็ไม่เต็มที่เท่าที่ควร หลังจากที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการกินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ฉันรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน พลังงานในร่างกายกลับมาเต็มเปี่ยม สมองปลอดโปร่ง คิดงานได้เร็วขึ้น และที่สำคัญที่สุดคืออารมณ์ดีขึ้นมากจนคนรอบข้างสัมผัสได้ การลงทุนกับอาหารดีๆ และการนอนที่มีคุณภาพคือการลงทุนกับประสิทธิภาพในการทำงานของตัวเราเองค่ะ เพราะร่างกายของเราคือเครื่องดนตรีชิ้นสำคัญที่สุดที่เรามี หากไม่ดูแลมันให้ดีที่สุดแล้ว เราจะเอาอะไรไปสร้างสรรค์ผลงานชั้นยอดให้กับผู้ฟังได้ล่ะคะ จำไว้เลยว่าสุขภาพดีเริ่มต้นจากภายใน และมันจะสะท้อนออกมาในผลงานของเราอย่างแน่นอน
สร้างเส้นทางสู่เป้าหมาย: การจัดลำดับความสำคัญอย่างชาญฉลาด
การเป็นนักดนตรีในยุคนี้ไม่ได้มีแค่การแต่งเพลง ซ้อมดนตรี และขึ้นแสดงคอนเสิร์ตอีกต่อไปแล้วค่ะ มันคือการสร้างแบรนด์ การทำคอนเทนต์ การตลาด การจัดการธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ที่อาจจะรวมไปถึงการวางแผนการเงินในระยะยาวด้วย ทุกอย่างมันเยอะไปหมดจนบางทีก็รู้สึกท่วมท้นจนไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนก่อน แต่จากประสบการณ์ของฉัน สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ฉันผ่านพ้นความรู้สึกสับสนนี้มาได้คือการเรียนรู้ที่จะจัดลำดับความสำคัญของงานต่างๆ อย่างชาญฉลาด มันเหมือนกับการที่เราต้องตัดสินใจว่าจะเล่นเพลงไหนก่อนในชุดการแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาไหลลื่นและน่าประทับใจที่สุด หากเรามัวแต่ไปเสียเวลากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สำคัญ งานใหญ่ๆ ที่มีผลต่ออนาคตก็อาจจะถูกทิ้งค้างไว้และสร้างปัญหาตามมาทีหลังได้ค่ะ การวางแผนที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวม และรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องทุ่มเทพลังงานให้มากที่สุดในแต่ละช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นการโปรโมทซิงเกิลใหม่, การเจรจากับค่ายเพลง, หรือการพัฒนาทักษะดนตรีเพิ่มเติม ทั้งหมดนี้ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญที่ชัดเจน เพื่อให้เราก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและมีทิศทาง
1. ใช้หลัก Eisenhower Matrix ในการตัดสินใจ
เทคนิคนี้เปลี่ยนชีวิตการทำงานของฉันไปเลยค่ะ! หลัก Eisenhower Matrix หรือการแบ่งงานออกเป็น 4 ประเภทคือ “สำคัญและเร่งด่วน”, “สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน”, “ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน”, และ “ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน” ช่วยให้ฉันมองเห็นภาพรวมของงานที่ต้องทำและตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าอะไรควรทำก่อนหลัง งาน “สำคัญและเร่งด่วน” ก็เช่น การซ้อมดนตรีก่อนคอนเสิร์ตใหญ่, การส่งเพลงให้โปรดิวเซอร์ตามเดดไลน์ ส่วนงาน “สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน” คือหัวใจของการเติบโตในระยะยาว อย่างเช่น การเรียนรู้เครื่องดนตรีใหม่ๆ, การพัฒนาทักษะการเขียนเนื้อเพลง, การสร้างเครือข่ายกับคนในวงการ ซึ่งถ้าเราละเลยสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นงานเร่งด่วนที่สำคัญในอนาคตค่ะ เมื่อก่อนฉันมักจะจมอยู่กับงาน “ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน” เช่น การตอบอีเมลที่ไม่จำเป็นทั้งหมดทันที หรือการไล่เช็คโซเชียลมีเดียแบบไร้จุดหมาย แต่พอได้ใช้หลักการนี้ ฉันก็สามารถจัดสรรเวลาให้กับสิ่งที่สำคัญจริงๆ ได้มากขึ้น และผลลัพธ์ก็คือการทำงานที่มีคุณภาพและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้เสมอ
2. ตั้งเป้าหมาย SMART และแตกย่อยเป็นขั้นตอนเล็กๆ
การมีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ แต่การทำให้เป้าหมายนั้นเป็นจริงได้ต่างหากคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดค่ะ ฉันเคยตั้งเป้าหมายใหญ่ๆ ไว้มากมาย เช่น “ฉันจะเป็นนักดนตรีระดับโลก” ซึ่งมันดูยิ่งใหญ่แต่ก็จับต้องไม่ได้เลย พอทำไม่ได้ก็ท้อ พอได้เรียนรู้เรื่องการตั้งเป้าหมายแบบ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) ชีวิตก็เปลี่ยนไปค่ะ เช่น แทนที่จะบอกว่า “ฉันจะแต่งเพลงให้เยอะขึ้น” ฉันจะตั้งว่า “ฉันจะแต่งเพลงใหม่ 2 เพลงที่พร้อมอัดภายใน 1 เดือน” จากนั้นก็แตกย่อยเป็นขั้นตอนเล็กๆ เช่น “สัปดาห์แรก: หาแรงบันดาลใจและเขียนโครงสร้างเพลง”, “สัปดาห์ที่สอง: แต่งเนื้อร้องและทำนอง”, “สัปดาห์ที่สาม: อัดเดโม”, “สัปดาห์ที่สี่: ส่งให้เพื่อนร่วมวงคอมเมนต์” การทำแบบนี้ทำให้เป้าหมายดูเป็นไปได้มากขึ้น ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป และยังช่วยให้ฉันมองเห็นความก้าวหน้าในแต่ละวัน ซึ่งเป็นแรงผลักดันชั้นดีเลยค่ะ นี่คือเคล็ดลับที่ช่วยให้ฉันยังคงผลิตผลงานใหม่ๆ ออกมาได้อย่างต่อเนื่องแม้ในวันที่รู้สึกเหนื่อยล้าก็ตาม ลองนำไปใช้ดูนะคะ มันเวิร์คจริงๆ!
เปิดรับเทคโนโลยี: ผู้ช่วยส่วนตัวที่ไม่ทำให้คุณหลงทาง
ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การไม่นำเครื่องมือเหล่านี้มาใช้ก็เหมือนกับการออกรบโดยไม่มีอาวุธเลยค่ะ นักดนตรีสมัยนี้ไม่สามารถพึ่งพาสมุดโน้ตและปากกาเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไปแล้ว เราต้องปรับตัวและเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือดิจิทัลต่างๆ เพื่อช่วยในการจัดการงาน, การสื่อสาร, การสร้างสรรค์ และการตลาด ที่น่าสนใจคือปัจจุบันมี AI เข้ามาช่วยในการทำเพลง การมิกซ์เสียง หรือแม้แต่การสร้างภาพปกอัลบั้ม ซึ่งช่วยลดภาระงานบางส่วนลงได้ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องเลือกใช้ให้ถูกประเภทและไม่ปล่อยให้เทคโนโลยีเข้ามาควบคุมชีวิตของเราจนเกินไปค่ะ จากประสบการณ์ตรง ฉันลองใช้แอปพลิเคชันและเครื่องมือออนไลน์มาแล้วนับไม่ถ้วน ทั้งที่เวิร์คและไม่เวิร์ค แต่ท้ายที่สุดฉันก็เจอตัวช่วยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักดนตรีได้อย่างลงตัว และที่สำคัญคือมันช่วยให้ฉันมีเวลาเหลือไปทำสิ่งที่สำคัญกว่า อย่างการคิดเมโลดี้ใหม่ๆ หรือการใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น
1. แอปพลิเคชันจัดการโปรเจกต์ที่นักดนตรีควรรู้จัก
สำหรับนักดนตรีที่ต้องทำงานร่วมกับคนหลากหลาย ทั้งโปรดิวเซอร์, ซาวด์เอนจิเนียร์, หรือแม้กระทั่งทีมการตลาด การมีเครื่องมือจัดการโปรเจกต์ดีๆ ถือเป็นสิ่งจำเป็นมากค่ะ เมื่อก่อนฉันใช้แค่ Line หรือ Messenger ในการคุยงาน ซึ่งทำให้ข้อมูลกระจัดกระจายและหาอะไรไม่เจอเลย แต่พอได้ลองใช้แอปพลิเคชันอย่าง Trello หรือ Asana ชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ เราสามารถสร้างบอร์ดสำหรับแต่ละโปรเจกต์ เช่น “อัลบั้มใหม่”, “ทัวร์คอนเสิร์ต”, “ทำเพลงคัฟเวอร์” และสามารถมอบหมายงาน, กำหนดเดดไลน์, แนบไฟล์เพลงหรือโน้ตดนตรีต่างๆ ได้ในที่เดียว ทุกคนในทีมสามารถเห็นความคืบหน้าของงานได้ตลอดเวลา ทำให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความผิดพลาดในการสื่อสารลงได้อย่างมากเลยค่ะ โดยส่วนตัวฉันใช้ Asana บ่อยกว่า เพราะมันสามารถแสดงผลเป็นรายการงานที่ต้องทำ (To-Do List) ได้อย่างชัดเจน และสามารถปรับแต่งได้หลากหลาย ทำให้ฉันจัดระเบียบงานได้ดีขึ้นมากค่ะ
2. เครื่องมือวางแผนตารางเวลาและการเตือนความจำที่ขาดไม่ได้
การมีตารางเวลาที่ชัดเจนช่วยให้ฉันไม่พลาดนัดสำคัญ ทั้งนัดซ้อม นัดอัดเสียง หรือนัดสัมภาษณ์สื่อค่ะ เมื่อก่อนฉันเคยพึ่งพาความจำตัวเองเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีวันที่ลืมบ้างแหละ (ฮ่าๆ) แต่พอได้ใช้ Google Calendar ควบคู่กับแอปฯ เตือนความจำอย่าง Todoist ชีวิตก็เป็นระเบียบขึ้นเยอะเลยค่ะ ฉันจะลงตารางงานทั้งหมดลงไปใน Google Calendar โดยแยกสีตามประเภทของงาน เช่น สีฟ้าสำหรับงานดนตรี, สีเขียวสำหรับงานส่วนตัว, สีแดงสำหรับเดดไลน์สำคัญ และสำหรับงานยิบย่อยที่ต้องทำในแต่ละวัน ฉันใช้ Todoist เพื่อลิสต์ออกมาเป็นข้อๆ และตั้งการแจ้งเตือนไว้ มันช่วยให้ฉันจัดการกับภารกิจประจำวันได้อย่างมีระบบ ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะลืมอะไรไปอีกต่อไป สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับนักดนตรีที่ต้องกระโดดไปมาระหว่างบทบาทที่หลากหลาย และต้องทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกันค่ะ
ตารางเปรียบเทียบเครื่องมือดิจิทัลยอดนิยมที่นักดนตรีควรรู้จัก
ประเภทเครื่องมือ | ชื่อเครื่องมือยอดนิยม | คุณสมบัติเด่น | เหมาะสำหรับ |
---|---|---|---|
จัดการโปรเจกต์ | Trello, Asana | สร้างบอร์ด/รายการงาน, กำหนดผู้รับผิดชอบ, กำหนดเดดไลน์, แนบไฟล์ | ทีมงานดนตรี, การวางแผนอัลบั้ม/คอนเสิร์ต |
วางแผนตารางเวลา | Google Calendar, Outlook Calendar | สร้างตารางงาน, แยกสีตามประเภท, ตั้งการแจ้งเตือน, แชร์ปฏิทินได้ | นักดนตรีที่ต้องการจัดการตารางซ้อม/นัดหมายส่วนตัว |
บันทึกโน้ต/ไอเดีย | Evernote, Google Keep | จดบันทึกได้ทุกรูปแบบ (ข้อความ, เสียง, รูป), ซิงค์ข้ามอุปกรณ์, ค้นหาง่าย | นักแต่งเพลง, นักดนตรีที่ต้องการบันทึกไอเดียเพลงฉับพลัน |
ตัดต่อเสียง/ทำเพลง | Ableton Live, Logic Pro X, GarageBand | DAW (Digital Audio Workstation) ระดับมืออาชีพ, ฟังก์ชันครบครัน, เอฟเฟกต์มากมาย | นักดนตรี/โปรดิวเซอร์ที่ต้องการผลิตเพลงคุณภาพสูง |
สร้างสมดุลชีวิต: เมื่อความสุขคือแรงขับเคลื่อน
บางครั้งในความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพนักดนตรี เราก็อาจจะหลงลืมไปว่าชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่องงานเพียงอย่างเดียวค่ะ ฉันเองก็เคยติดอยู่ในกับดักของการทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา เพราะกลัวว่าจะตามคนอื่นไม่ทัน หรือกลัวว่าจะไม่มีผลงานออกมาให้คนจดจำ จนกระทั่งเพื่อนสนิททักว่า “แกดูไม่มีความสุขเลยนะ” คำพูดนั้นทำให้ฉันสะดุ้งและคิดทบทวนว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้มันใช่จริงๆ หรือเปล่า การมีชีวิตที่สมดุล ไม่ใช่แค่การแบ่งเวลาระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว แต่คือการสร้างความสุขจากทั้งสองส่วนให้เกื้อหนุนกัน การที่เรารู้จักแบ่งเวลาให้ครอบครัว เพื่อนฝูง งานอดิเรกที่ชอบ หรือแม้แต่การท่องเที่ยวพักผ่อน จะช่วยเติมเต็มพลังใจให้เรากลับมาทำงานดนตรีได้อย่างเต็มที่ และมีความสุขกับมันจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำไปวันๆ เพื่อให้มีผลงานออกมา การมีสมดุลที่ดีจะช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และป้องกันภาวะหมดไฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักดนตรีหลายคนต้องเผชิญในเส้นทางอาชีพที่ยาวนานนี้ค่ะ
1. กำหนดขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว
ข้อนี้สำคัญมากจนฉันต้องขีดเส้นใต้ไว้เลยค่ะ! สมัยก่อนฉันมักจะให้งานเข้ามาแทรกชีวิตส่วนตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนถ้ามีคนทักมาเรื่องงาน ฉันก็จะตอบทันที หรือบางทีก็เผลอหยิบมือถือมาเช็คอีเมลขณะอยู่กับครอบครัว ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา เพราะสมองไม่เคยได้พักเลยค่ะ สิ่งที่ฉันทำคือการกำหนด “เวลาทำงาน” ที่ชัดเจน เช่น ฉันจะทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น และหลังจากนั้นคืองานส่วนตัว ถ้ามีเรื่องด่วนจริงๆ ให้โทรมาเท่านั้น แต่ถ้าเป็นข้อความหรืออีเมลที่รอได้ ฉันจะตอบในวันรุ่งขึ้น การทำแบบนี้อาจจะดูเหมือนแข็งไปหน่อยในตอนแรก แต่เมื่อทุกคนเข้าใจและปฏิบัติตาม ฉันก็มีเวลาส่วนตัวเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ได้ไปออกกำลังกาย, ดูหนัง, หรือแค่พักผ่อนเฉยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องงานตลอดเวลา และเมื่อถึงเวลาทำงาน ฉันก็จะโฟกัสได้อย่างเต็มที่ เพราะรู้ว่าได้พักผ่อนมาอย่างเต็มที่แล้ว การสร้างขอบเขตนี้ช่วยให้ชีวิตของฉันมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ
2. ค้นหางานอดิเรกที่ไม่เกี่ยวข้องกับดนตรี
ฟังดูแปลกใช่ไหมคะ? นักดนตรีก็ควรจะหลงใหลในดนตรีอยู่แล้วนี่นา แต่เชื่อฉันเถอะว่าการมีงานอดิเรกที่ไม่เกี่ยวข้องกับดนตรีเลยแม้แต่น้อยช่วยผ่อนคลายและเติมเต็มพลังให้ฉันได้อย่างไม่น่าเชื่อค่ะ เมื่อก่อนฉันคิดว่าทุกนาทีที่ไม่ได้ซ้อมหรือแต่งเพลงคือนาทีที่เสียเปล่า แต่ความคิดนี้แหละที่ทำให้ฉันรู้สึกกดดันและหมดความสุขกับดนตรีไปในที่สุด หลังจากที่ได้ลองหันมาวาดรูป, ปลูกต้นไม้, หรือแม้แต่ลองทำอาหารง่ายๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันได้ใช้สมองในส่วนอื่นๆ และได้ผ่อนคลายจากความเครียดที่เกิดจากการทำงานได้อย่างดี เมื่อได้กลับมาจับเครื่องดนตรีอีกครั้ง ฉันกลับรู้สึกสดชื่น มีไอเดียใหม่ๆ พรั่งพรูออกมา และมีความสุขกับการสร้างสรรค์เพลงมากกว่าเดิมหลายเท่า การมีงานอดิเรกอื่นๆ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักดนตรี แต่มันคือการที่เราได้เปิดโอกาสให้ตัวเองได้สำรวจและค้นพบความสุขในด้านอื่นๆ ของชีวิต ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันก็จะกลับมาส่งเสริมให้เราเป็นนักดนตรีที่มีความสุขและมีผลงานที่มีคุณภาพมากขึ้นนั่นเองค่ะ
การเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่
โลกของดนตรีและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากค่ะ ถ้าเรายังคงยึดติดอยู่กับวิธีการทำงานแบบเดิมๆ หรือไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เราก็อาจจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้ง่ายๆ เลยค่ะ ฉันจำได้ว่าช่วงที่ Spotify และ JOOX เริ่มเข้ามามีบทบาทในไทยใหม่ๆ วงของฉันก็ต้องปรับตัวเยอะมาก ทั้งเรื่องการโปรโมทเพลง การสร้างฐานแฟนคลับบนแพลตฟอร์มดิจิทัล และการทำความเข้าใจกับรายได้ที่มาจากสตรีมมิ่ง มันไม่ใช่แค่เรื่องการเล่นดนตรีให้เก่งแล้ว แต่ต้องมีความรู้รอบด้านด้วย การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักดนตรีในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เครื่องดนตรีชิ้นใหม่, การฝึกทักษะการทำเพลงในโปรแกรมต่างๆ, หรือแม้แต่การทำความเข้าใจเรื่องการตลาดดิจิทัล การลงทุนกับความรู้คือการลงทุนกับอนาคตของเราเองค่ะ ยิ่งมีความรู้มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีโอกาสและทางเลือกในการสร้างรายได้จากดนตรีมากขึ้นเท่านั้น
1. แบ่งเวลาสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นประจำ
ฉันจะกันเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์สำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและการตลาดดิจิทัลค่ะ เช่น การเรียนคอร์สออนไลน์เกี่ยวกับการมิกซ์เสียงเพลงในโปรแกรมใหม่ๆ, การศึกษาเรื่องอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย, หรือแม้แต่การอ่านบทความเกี่ยวกับการสร้างรายได้จาก NFTs สำหรับศิลปิน สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ฉันตามทันเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้กับการทำงานของวงได้ทันท่วงที เมื่อก่อนฉันเคยรู้สึกว่าไม่มีเวลาพอที่จะเรียนรู้อะไรเพิ่ม เพราะงานดนตรีก็ล้นมืออยู่แล้ว แต่พอได้ลองจัดสรรเวลาให้กับการเรียนรู้โดยเฉพาะ ฉันก็พบว่ามันไม่ได้ใช้เวลามากอย่างที่คิด และสิ่งที่ได้กลับคืนมานั้นคุ้มค่ามากค่ะ เพราะมันช่วยเปิดโลกทัศน์และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับเส้นทางอาชีพนักดนตรีของฉันได้อย่างไม่น่าเชื่อ การลงทุนในความรู้คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในระยะยาวเลยนะคะ
2. แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักดนตรีและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ
การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนหรือบนอินเทอร์เน็ตเท่านั้นค่ะ การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนนักดนตรี หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งเลยค่ะ ฉันมักจะหาโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนา, เวิร์คช็อป, หรือแม้แต่การนัดทานข้าวกับเพื่อนร่วมวงการ เพื่ออัปเดตข่าวสาร เทรนด์ใหม่ๆ และแลกเปลี่ยนเคล็ดลับการทำงานกัน บางครั้งปัญหาที่เราเจออยู่ อาจจะมีคนอื่นที่เคยเจอมาก่อนและมีวิธีแก้ไขที่ดีอยู่แล้ว ซึ่งช่วยให้เราประหยัดเวลาและพลังงานไปได้มากเลยค่ะ การสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในวงการไม่ได้แค่ช่วยเรื่องการทำงาน แต่ยังช่วยเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจและกำลังใจให้เราได้ก้าวเดินต่อไปในเส้นทางนี้ด้วย เพราะการเป็นนักดนตรีนั้นบางครั้งก็อาจจะรู้สึกโดดเดี่ยว การมีเพื่อนร่วมเดินทางที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้เลยล่ะค่ะ
การรับมือกับสิ่งรบกวน: โฟกัสให้ถูกจุด
ในโลกที่เต็มไปด้วยการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดีย, ข้อความจากเพื่อน, และอีเมลจากงานต่างๆ การที่เราจะโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักดนตรีที่ต้องใช้สมาธิอย่างมากในการแต่งเพลง ซ้อมดนตรี หรือแสดงบนเวที ฉันเองก็เคยติดนิสัยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอยู่บ่อยๆ แม้จะรู้ว่ามันรบกวนสมาธิแค่ไหนก็ตาม จนกระทั่งตระหนักว่านี่แหละคือตัวการสำคัญที่ทำให้งานไม่เดินหน้าและคุณภาพของงานลดลง การจัดการกับสิ่งรบกวนจึงเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการบริหารเวลาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่แค่การปิดเสียงแจ้งเตือน แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานอย่างมีสมาธิและต่อเนื่อง
1. กำหนด “ช่วงเวลาปราศจากสิ่งรบกวน”
นี่คือสิ่งที่ฉันพยายามทำทุกวันในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของการทำงานค่ะ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ต้องแต่งเพลงใหม่, ซ้อมดนตรีอย่างจริงจัง, หรือเตรียมตัวขึ้นแสดงคอนเสิร์ต ฉันจะปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดบนโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ หรือบางครั้งก็วางโทรศัพท์ไว้ห้องอื่นไปเลยค่ะ บางคนอาจจะใช้วิธีปิดอินเทอร์เน็ตไปเลยชั่วคราว สิ่งนี้ช่วยให้ฉันสามารถจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าได้อย่างเต็มที่ ไม่มีเสียงแจ้งเตือนหรือข้อความเด้งขึ้นมารบกวน ซึ่งช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่เคยใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการแต่งเพลง แต่พอไม่มีสิ่งรบกวน อาจจะใช้เวลาเพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น และผลงานที่ออกมาก็มีคุณภาพมากขึ้นด้วย เพราะสมาธิไม่ถูกแบ่งแยกไปที่อื่นเลย การสร้างช่วงเวลาแห่งการโฟกัสนี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักดนตรีที่ต้องการผลิตผลงานที่ดีที่สุดออกมาค่ะ
2. เรียนรู้ที่จะพูด “ไม่” ให้เป็น
การเป็นนักดนตรีนั้นมักจะมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือหรือชวนทำโปรเจกต์ต่างๆ มากมายค่ะ และด้วยความที่เราก็อยากช่วยเหลือเพื่อนร่วมวงการ หรืออยากเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเอง บางครั้งเราก็เผลอรับงานมามากเกินไป จนสุดท้ายก็แบกรับภาระไม่ไหวและส่งผลกระทบต่องานหลักหรือสุขภาพของตัวเองในที่สุดค่ะ ฉันเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว รับปากไปทุกอย่าง จนสุดท้ายก็เครียดจัดและทำงานได้ไม่เต็มที่เลย หลังจากที่ได้เรียนรู้ว่าการพูด “ไม่” อย่างสุภาพและมีเหตุผลนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมากค่ะ การปฏิเสธโปรเจกต์ที่ไม่ตรงกับเป้าหมายของเรา หรือการบอกว่าไม่สามารถช่วยได้ในบางเวลา จะช่วยให้เรามีเวลาเหลือไปโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ ได้มากขึ้น และยังเป็นการฝึกให้เราได้ประเมินคุณค่าของเวลาตัวเองด้วยค่ะ การพูด “ไม่” ไม่ใช่การเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่คือการบริหารจัดการเวลาและพลังงานของเราให้เกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ
บทสรุป
เส้นทางอาชีพนักดนตรีในปัจจุบันไม่ใช่แค่การสร้างสรรค์ผลงานเพลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเป็นผู้ประกอบการที่ต้องจัดการทั้งชีวิตและงานไปพร้อมกันค่ะ จากประสบการณ์ตรงของฉัน ฉันพบว่าการดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ การจัดลำดับความสำคัญของงานอย่างชาญฉลาด การเปิดรับเทคโนโลยี และการรักษาสมดุลชีวิต คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ในแง่ของผลงาน แต่ยังรวมถึงความสุขและความอิ่มเอมใจในการใช้ชีวิตด้วยค่ะ
สิ่งเหล่านี้อาจจะฟังดูเยอะ แต่เมื่อคุณค่อยๆ ปรับใช้และสร้างวินัยให้ตัวเอง คุณจะพบว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ ขอให้คุณเป็นนักดนตรีที่มีความสุขในทุกๆ วัน และสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาได้อย่างต่อเนื่องนะคะ จำไว้ว่าสุขภาพที่ดีคือรากฐานสำคัญของทุกสิ่ง!
ข้อมูลน่ารู้ที่เป็นประโยชน์
1. สำหรับนักดนตรีไทย ลองพิจารณาแพลตฟอร์มเพลงสตรีมมิ่งในประเทศอย่าง JOOX หรือ LINE MUSIC ควบคู่ไปกับ Spotify และ Apple Music เพื่อขยายฐานผู้ฟังในวงกว้าง
2. การทำความเข้าใจเรื่องลิขสิทธิ์เพลงในประเทศไทยจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือสมาคมนักแต่งเพลงแห่งประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อปกป้องผลงานของคุณ
3. หากกำลังมองหาโอกาสแสดงสด ลองติดต่อ venues เล็กๆ หรือคาเฟ่ดนตรีในท้องถิ่น ซึ่งมักเปิดโอกาสให้นักดนตรีหน้าใหม่ได้แสดงฝีมือ
4. การสร้างคอนเทนต์บน TikTok หรือ YouTube Shorts โดยใช้เพลงของคุณเอง หรือทำ challenge สนุกๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรี สามารถช่วยให้เพลงของคุณเป็นที่รู้จักในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว
5. พิจารณาการใช้ AI ในการช่วยแต่งเพลง หรือสร้างบีทเบื้องต้นเพื่อประหยัดเวลา แต่ต้องไม่ลืมใส่เอกลักษณ์และความเป็นตัวคุณลงไปเสมอ เพื่อไม่ให้งานของคุณขาดจิตวิญญาณ
สรุปประเด็นสำคัญ
การจัดการเวลาและจิตใจคือรากฐานสำคัญสำหรับนักดนตรี การจัดลำดับความสำคัญของงานช่วยให้เดินหน้าสู่เป้าหมายอย่างมั่นคง การเปิดรับเทคโนโลยีเป็นผู้ช่วยสำคัญที่ไม่ควรพลาด การสร้างสมดุลชีวิตนำมาซึ่งความสุขและแรงขับเคลื่อน และการเรียนรู้ตลอดเวลาคือสิ่งที่จะทำให้คุณก้าวทันโลกที่ไม่หยุดนิ่ง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖
ถาม: ในฐานะนักดนตรีที่ต้องทำหลายบทบาท ทั้งสร้างสรรค์ผลงาน บริหารจัดการตัวเอง แถมยังต้องโปรโมทเพลงอีก คุณมีวิธีจัดสมดุลระหว่างการทำงานศิลปะกับภารกิจด้านธุรกิจที่วุ่นวายพวกนี้ยังไงคะ/ครับ?
ตอบ: โอ้โห! คำถามนี้โดนใจมากเลยค่ะ เพราะตอนแรกๆ นี่แหละที่ฉันแทบจะเอาตัวไม่รอดจริงๆ การจะนั่งแต่งเพลงให้ได้อารมณ์ ในขณะที่ต้องคิดเรื่องโพสต์โปรโมทเพลง หรือตอบอีเมลเรื่องงานคอนเสิร์ตมันตีกันมั่วไปหมดจนหืดขึ้นคอเลยค่ะ ที่ฉันเรียนรู้ก็คือ เราต้องกำหนด “เวลา” ให้ชัดเจนไปเลยค่ะ ฉันจะแบ่งวันออกเป็นบล็อกๆ เช่น ช่วงเช้าเป็น “Creative Zone” เลยค่ะ จะไม่แตะโทรศัพท์ ไม่เช็คอีเมล ปล่อยสมองให้ได้จมดิ่งไปกับการแต่งเพลงหรือซ้อมดนตรีเต็มที่ แล้วพอช่วงบ่ายถึงจะมาลุยงาน “Business Zone” ทั้งการตอบอีเมล คุยงานกับทีม หรือแม้แต่คิดคอนเทนต์โปรโมทเพลงบนโซเชียลมีเดียค่ะ การแยกส่วนแบบนี้มันช่วยให้เราโฟกัสได้เต็มที่กับแต่ละงาน ไม่ต้องสลับโหมดไปมาให้เสียพลังงาน แถมสมองก็ได้พักผ่อนจากเรื่องหนักๆ ทางธุรกิจ พอได้กลับไปสร้างสรรค์งานก็รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลยค่ะ ลองดูนะคะ มันช่วยได้จริง!
ถาม: คุณบอกว่าเคยลองวิธีบริหารเวลาแปลกๆ หรือแม้แต่ AI แล้ว สุดท้ายอะไรคือ “เคล็ดลับ” ที่ได้ผลจริงและคุณอยากแนะนำมากที่สุดคะ/ครับ?
ตอบ: จากที่ลองผิดลองถูกมาเยอะจริงๆ ค่ะ ทั้งแอปบริหารเวลาที่เคยโหลดมาเต็มเครื่อง หรือแม้แต่ลองให้ AI มาจัดตารางให้ (ซึ่งบางทีมันก็ดูเป็นตารางที่ “สมบูรณ์แบบ” จนเกินจริง) ฉันพบว่า “เคล็ดลับ” ที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เทคนิคหรือเครื่องมือที่ซับซ้อนอะไรเลยค่ะ แต่มันคือ “วินัยและความเข้าใจตัวเอง” ต่างหาก ที่ได้ผลจริงกับฉันคือการ “จัดลำดับความสำคัญแบบหินก้อนใหญ่” ค่ะ คือในแต่ละวัน เราต้องรู้ว่าอะไรคือ 1-2 อย่างที่เป็น “หินก้อนใหญ่” จริงๆ ที่ถ้าไม่ทำวันนี้แล้วทุกอย่างจะพัง เช่น การเขียนท่อนฮุกที่สำคัญมาก หรือการต้องซ้อมเพลงใหม่เพื่อโชว์สำคัญ แล้วจัดสรรเวลาให้ทำสิ่งนั้นให้เสร็จก่อนเป็นอันดับแรก ที่เหลือค่อยตามมา ไม่ว่าจะอีเมลตอบช้าไปบ้าง หรือโพสต์โปรโมทลงช้าไปหน่อยก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ก็คือ เราไม่สามารถทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบได้ในวันเดียว เราแค่ต้องทำสิ่งที่สำคัญที่สุดให้เสร็จก็พอค่ะ และที่สำคัญคือต้องรู้จัก “ปฏิเสธ” งานที่ไม่ใช่หินก้อนใหญ่ของเราบ้าง เพื่อให้มีเวลาโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ ค่ะ
ถาม: ในฐานะนักดนตรีที่ต้องเผชิญความกดดันมหาศาล ทั้งเรื่องการแข่งขันและการสร้างรายได้ รวมถึงการดูแลสุขภาพจิต คุณมีวิธีจัดการกับความกดดันและรักษาสุขภาพใจตัวเองให้ยังคงสร้างสรรค์ผลงานได้ยังไงคะ/ครับ?
ตอบ: อันนี้เป็นเรื่องที่ฉันให้ความสำคัญมากที่สุดเลยค่ะ เพราะเคยมีช่วงที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดจนเบิร์นเอาต์ไปเลย รู้สึกเหมือนเสียงดนตรีในใจมันเงียบหายไปหมด จากประสบการณ์ตรงที่เคยล้มมาแล้ว ฉันพบว่าการบริหารจัดการเวลาที่ดีมันรวมไปถึงการ “จัดสรรเวลาให้ตัวเอง” ด้วยค่ะ ไม่ใช่แค่เวลาทำงาน แต่คือเวลาพักผ่อน เวลาได้ทำสิ่งที่ชอบที่ไม่เกี่ยวกับดนตรีเลย เช่น การออกไปวิ่งตอนเช้า หรือการได้นั่งจิบกาแฟเงียบๆ สัก 15 นาที โดยที่ไม่ต้องคิดเรื่องงานเลย มันฟังดูเหมือนจะทำให้เสียเวลา แต่มันคือการ “ชาร์จแบต” ให้กับสมองและจิตใจค่ะ พอเราได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ได้มีพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ต้องคิดเรื่องความกดดัน เราก็จะมีพลังกลับมาสร้างสรรค์งานได้เต็มที่มากขึ้น นอกจากนี้ การมี “คนรอบข้าง” ที่เราสามารถพูดคุยระบายความรู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมวง ครอบครัว หรือเพื่อนสนิท ก็ช่วยได้มากเลยค่ะ อย่าเก็บความรู้สึกไว้คนเดียวเด็ดขาด เพราะสุขภาพจิตที่ดีคือพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นนักดนตรีที่ยั่งยืนค่ะ
📚 อ้างอิง
Wikipedia Encyclopedia
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과